FBS รู้สึกตื่นเต้นที่จะแจ้งให้ทราบว่าเราได้เพิ่มเลเวอเรจบนดัชนีเป็น 1:500 สิ่งนี้หมายความว่า คุณจะสามารถใช้ประโยชน์จากความผันผวนของตลาดที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างเต็มที่ และเสริมพลังให้กับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณ
เหตุใดจึงจำเป็นต้องให้ความสนใจกับตลาดหุ้น?
มีหลายปัจจัยสำคัญที่กำลังจะมาถึง เช่น เหตุการณ์ September Effect การเปลี่ยนแปลงนโยบายการเงินของสหรัฐฯ และการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะทำให้ตลาดหุ้นเกิดการเคลื่อนไหวอย่างมีนัยสำคัญ โดยการเข้าใจสิ่งมีอิทธิพลเหล่านี้ คุณจะสามารถลับคมกลยุทธ์การซื้อขายของคุณในช่วงเวลาสำคัญนี้ได้ ในบทความต่อไปนี้ เราจะมาเจาะลึกถึงแต่ละปัจจัยกัน
เหตุการณ์ September Effect
เหตุการณ์ September Effect หมายถึงผลตอบแทนตลาดหุ้นที่อ่อนแอเป็นประวัติการณ์ที่สังเกตได้ในช่วงเดือนกันยายน โดยเฉลี่ยแล่วเดือนกันยายนถือเป็นเดือนที่มีความผันผวนมากที่สุดของตลาดหุ้นและดัชนี US500
ตั้งแต่ปี 1950 เดือนกันยายนถือเป็นเดือนที่เลวร้ายที่สุดขิง US30 US100 และ US500 เดือนกันยายนได้ล้มเหลว 4 ปีติดต่อกัน ตั้งแต่ปี 1999 ถึง 2002 หลัง 4 ปีที่มีความเสถียรตั้งแต่ปี 1995 ถึง 1998 ในช่วงที่เกิดภาวะฟองสบู่ดอตคอม
แต่สิ่งที่น่าสังเกตก็คือเหตุการณ์ September Effect นั้นมีพื้นฐานมาจากข้อมูลทางสถิติในระยะยาวมากกว่า 100 ปี มากกว่าที่จะเป็นทฤษฎีหรือตัวชี้วัดทางการเงินที่แท้จริงใด ๆ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมนักลงทุนบางส่วนจึงไม่ถือว่าปรากฏการณ์นี้เป็นเรื่องที่จริงจัง แถมยังเอามาล้อเลียนเล่น ๆ หน้าตาเฉย
มีหลากหลายทฤษฎีเกี่ยวกับเหตุการณ์ September Effect และมีการถกเถียงมากมายเกี่ยวกับสาเหตุของปรากฏการณ์นี้ มาสำรวจมุมมองที่แตกต่างกันเกี่ยวกับปรากฏการณ์นี้และทำการวิเคราะห์แบบเจาะลึกกันดีกว่า
หนึ่งในคำอธิบายที่พบบ่อยที่สุดก็คือว่าเหตุการณ์ September Effect นั้นเป็นเพียงแนวโน้มตามฤดูกาล ในอดีต หลายเดือนในช่วงฤดูร้อนมักจะเป็นช่วงที่ตลาดซบเซา เนื่องจากนักลงทุนจะออกไปพักร้อนซึ่งทำให้ปริมาณการซื้อขายลดลง แต่พอฤดูใบไม้ร่วงใกล้เข้ามาและผู้คนกลับมาทำงานตามปกติ ปริมาณการซื้อขายก็เพิ่มขึ้นอีกครั้ง ส่งผลให้ความผันผวนเพิ่มขึ้นตามมา ยิ่งไปกว่านั้น หลายบริษัทต่างเปิดเผยรายงานผลประกอบการรายไตรมาสในเดือนกันยายน ซึ่งอาจส่งผลให้ราคาหุ้นเกิดความผันผวน
อีกทฤษฎีหนึ่งกล่าว่าเหตุการณ์ September Effect เป็นเรื่องของจิตวิทยาของนักลงทุนมากกว่าที่จะเป็นเรื่องอื่น เมื่อฤดูร้อนสิ้นสุดลง ผู้คนจำนวนหนึ่งก็มีแนวโน้มที่จะรู้สึกวิตกกังวลและซึมเศร้า ซึ่งอาจนำไปสู่ความรู้สึกเชิงลบเกี่ยวกับตลาดได้
เดือนกันยายนมักเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางการเมือง ในสหรัฐฯ ถือเป็นวันสิ้นสุดปีงบประมาณของรัฐบาลกลาง ซึ่งก่อให้เกิดการถกเถียงเรื่องงบประมาณและภาษี นอกจากนี้ หลายประเทศจะมีการเลือกตั้งในฤดูใบไม้ร่วง ทำให้เกิดความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและตลาด
มุมมองสุดท้ายคือนักวิเคราะห์บางคนจะเชื่อมโยงเหตุการณ์ September Effect กับการเปลี่ยนแปลงอัตราดอกเบี้ย ตลาดหุ้นอาจได้รับผลกระทบเนื่องจากธนาคารกลาง เช่น ธนาคารกลางสหรัฐ จะปรับอัตราดอกเบี้ย
ความผันผวนในเดือนกันยายนมักนำไปสู่ความเคลื่อนไหวของตลาดที่มีความโดดเด่น และด้วยเลเวอเรจที่เพิ่มขึ้น คุณจะสามารถวางตำแหน่งตัวเองได้ดีขึ้นเพื่อทำกำไรจากความผันผวนเหล่านี้
NFP และ การประชุมของ FOMC
การประชุมของ FOMC เมื่อสัปดาห์ที่แล้วส่งผลให้เกิดความผันผวนในตลาดอย่างมีนัยสำคัญและดัชนี US500 ก็พุ่งสูงขึ้นเนื่องมาจากสัญญาณของ Powel ที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนกันยายน
การประกาศตัวเลข NFP ของวันศุกร์ได้ออกมาแย่กว่าที่คาดไว้ โดยเน้นย้ำถึงความอ่อนแอของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่ของเฟดต่างเห็นพ้องต้องกันที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลักในเดือนกันยายน สิ่งนี้ทำให้ตลาดหุ้นตกต่ำ การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจดังกล่าวทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญในพลวัตของตลาด ซึ่งจะเปิดโอกาสในการซื้อขายอันมีค่า
เป็นที่ทราบกันดีว่าอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ ได้แตะถึงเพดานแล้ว คำถามสำคัญในขณะนี้คือธนาคารจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด ธนาคารกลางสหรัฐจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นกิจกรรมทางการเงินในตอนที่เศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว โดยทั่วไปแล้วนักลงทุนและนักเศรษฐศาสตร์จะมองอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลงว่าเป็นตัวเร่งการเติบโต ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการกู้ยืมของบุคคลและองค์กร สิ่งนี้จะนำไปสู่ผลกำไรที่สูงขึ้นและเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
ผู้บริโภคจะใช้จ่ายมากขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยที่ลดลงจะทำให้พวกเขารู้สึกว่าบางทีพวกเขาอาจสามารถซื้อสินค้าและบริการต่าง ๆ ได้มากขึ้น บริษัทต่าง ๆ สามารถจัดหาเงินทุนสำหรับการดำเนินกิจการ การเข้าซื้อกิจการ และการขยายตัวได้ด้วยอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ซึ่งจะช่วยเพิ่มผลประกอบการ สิ่งนี้จะทำให้ราคาหุ้นสูงขึ้นในที่สุด
อย่างไรก็ตาม การปรับลดอัตราดอกเบี้ยก็ไม่ได้นำไปสู่ผลลัพธ์เชิงบวกเสมอไป เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2007 ก่อนเกิดวิกฤตการเงินในปี 2008 และการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในปี 2019 ที่นำไปสู่วิกฤตตลาดในปี 2020 อย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน การกระทำเหล่านี้ได้ถล่มดัชนีของเอเชียและสหรัฐฯ ตัวอย่างเช่น JP225 ได้ปรับตัวลง 12% ในช่วงเปิดตลาดในวันจันทร์ อย่างไรก็ตาม คุณสามารถใช้ประโยชน์จากทั้งตลาดขาขึ้นและขาลงได้ที่ FBS เนื่องจากความผันผวนสูงจะนำมาซึ่งโอกาสในการซื้อขายอย่างเหลือเฟือ
การเลือกตั้งของสหรัฐฯ
ในอดีต ตลาดหุ้นสหรัฐฯ มักเกิดความผันผวนอย่างรุนแรงในระหว่างการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
ในการแข่งขันชิงตำแหน่งประธานาธิบดีครั้งล่าสุดในปี 2020 ดัชนี Nasdaq (US100) ได้เกิดความผันผวนอย่างรุนแรงและเคลื่อนไหวในแนวข้างก่อนวันเลือกตั้ง แต่หลังการเลือกตั้ง ตลาดก็ได้เป็นแนวโน้มขาขึ้น
การวิจัยแสดงให้เห็นว่านับตั้งแต่ปี 1950 ผลตอบแทนเฉลี่ยของหุ้นสหรัฐฯ ในช่วงปีเลือกตั้งนั้นได้อยู่ที่ 9.1% สภาวะตลาดหุ้นเฉลี่ยในอดีตในช่วง 12 เดือนระหว่างการเลือกตั้งจะเผยให้เห็นสิ่งต่อไปนี้:
ในปีแรกหลังการเลือกตั้ง ผลตอบแทนของ US500 จะอยู่ที่ 8.3% โดยเฉลี่ย
ในปีที่ 2 จะอยู่ที่ 3.4%
ในปีที่ 3 จะอยู่ที่ 14.7%
และในปีที่ 4 จะอยู่ที่ 9.1%
ปีนี้ โลกกำลังจับตามองการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 28 พฤศจิกายน อย่างใกล้ชิด ด้วยเวลาที่เหลืออีกสามเดือน ข่าวคราวจะเต็มไปด้วยอัปเดตต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการเลือกตั้ง ตลาดจะตอบสนองต่อข้อมูลนี้ เช่น หลังจากความพยายามลอบสังหารอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ ตลาดได้ปรับตัวสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญก่อนที่จะกลับมาทรงตัวในอีกไม่กี่วันต่อมา
นอกจากนี้ ยังไม่มีความชัดเจนว่าตลาดจะชอบรัฐบาลชุดใหม่ของทรัมป์ที่จะมาทำงานต่อจากรัฐบาลของไบเดน หรือรัฐบาลชุดอื่นที่นำโดยพรรคเดโมแครตมากกว่ากัน ซึ่งดูเหมือนว่าตลาดน่าจะยังไม่มีความโน้มเอียงที่ชัดเจน
ปฏิกิริยาในตลาดอัตราดอกเบี้ยยังคงเงียบอยู่ การถอนตัวของไบเดนได้ส่งผลกระทบอย่างจำกัดต่อตลาดอัตราดอกเบี้ย โดยเกิดการเปลี่ยนแปลงในผลตอบแทนเพียงเล็กน้อย